โนโวเทล สุวรรณภูมิชูจุดเด่น/ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้า
จุดเด่นของโรงแรมเป็นเพียงแห่งเดียวที่ผู้เข้าพักสามารถเช็คเอาท์ได้เวลาเดียวกันกับเวลาเข้าพัก เพื่อสอดรับกับความต้องการของลูกค้า
นายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ ประธานกรรมการ บริษัท โรงแรมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จำกัด (รทส.) ผู้บริหารโรงแรมโนโวเทล สุวรรณภูมิ แอร์พอร์ต กล่าวถึง โรงแรมโนโวเทล สุวรรณภูมิ แอร์พอร์ต ว่า เป็นการร่วมทุนซึ่งมีบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) 60% บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) 30% ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) 10% ด้วยเงินลงทุน 1,017.78 ล้านบาท โดยว่าจ้างกิจการร่วมค้ายูนิเวอร์แซล ฮอสพิแทลลิที เป็นผู้บริหารกิจการโรงแรมในลักษณะโฮเต็ล เชนภายใต้เครื่องหมายโนโวเทล ของกลุ่มแอคคอร์
ดังนั้นการบริหารจัดการของโรงแรมจึงมี 3 แนวทางหลักที่ได้มาตรฐานของเชนแอคคอร์ คือ 1.ให้บริการที่ครบวงจร เหมาะสมกับการเป็นสนามบินนานชาติชั้นนำของโลก 2.สามารถสร้างรายได้ทางธุรกิจมีผลตอบแทนอย่างเหมาะสมกับการลงทุน 3.เป็นสัญลักษณ์ที่เชิดหน้าชูตาของประเทศไทย ซึ่งเป็นการช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศ
ทั้งนี้ นายชัยวัฒน์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันโรงแรมโนโวเทล สุวรรณภูมิ แอร์พอร์ต มีกลยุทธ์ที่เป็นจุดเด่น คือ เป็นโรงแรมเพียงแห่งเดียวที่สามารถ ให้บริการ 2 4 Hours Flexy โดยผู้เข้าพักสามารถเช็คเอาท์ได้เวลาเดียวกันกับเวลาเข้าพัก เพื่อสอดรับกับความต้องการของลูกค้าซึ่งต้องการความสะดวกสบาย ถือเป็นกลยุทธ์ที่สร้างความแตกต่างอย่างลงตัว ด้วยการให้บริการที่หลากหลายทั้งการให้บริการสปา ฟิตเนส รวมถึงห้องอาหารจีน
ซึ่งปี 2558 มีอัตราการเข้าพัก 76.58% คิดเป็นรายได้ 875.22 ล้านบาท กำไร 104.58 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2557 ที่มีอัตราการเข้าพัก 76.53% คิดเป็นรายได้ 828.96 ล้านบาท กำไร 53.52 ล้าน โดยไตรมาส 1 ปี 2559 อัตราการเข้าพักโดยเฉลี่ยมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอยู่ที่ 83.20% จากที่คาดว่าทั้งปี 2559 อยู่ที่ 78-80 % โดยมีรายได้รวม 838 ล้านบาท กำไร 61 ล้านบาท ซึ่งเป็นทิศทางที่ดี ทั้งนี้อัตราการเข้าพักปี 2559 ในไตรมาสแรกถ้ารวม Day use และ Fresh up จะอยู่ที่ประมาณ 90% โดยอัตราการเข้าพักของชาวต่างชาติจะมากกว่าคนไทย ต่างประเทศ 80% คนไทย 20% ซึ่งเดือนธันวาคม 2558 กลุ่มลูกค้าที่มาเข้าพักมากที่สุดคือ เกาหลี ญี่ปุ่น
โดย นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า ในปี 2559 ทางโรงแรมมีแผนปรับกลยุทธ์เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้บริการ ด้วยการอัพเกรดของห้องพักอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในอนาคตอาจจะมีการเปลี่ยนจากโรงแรม 4 ดาว เป็น 5 ดาว ในเวลานี้อยู่ขั้นตอนของการดำเนินงานน่าจะใช้เวลาประมาณสองเดือนจึงจะรู้ผล
"ปัจจุบันต้องยอมรับว่าทางโรงแรมมีการเลือกกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ เพราะนักท่องเที่ยวบางกลุ่มเมื่อเข้ามาใช้บริการ แล้วมักสร้างความรำคาญให้นักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำเสียงดัง ทำสถานที่สกปรก ทำให้ลูกค้าที่กลุ่มอื่นๆ เกิดความไม่พอใจ ในส่วนนี้ทางโรงแรมจึงต้องมีการคัดกลุ่มของลูกค้าก่อนที่จะเข้ามาใช้บริการซึ่งกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ กลุ่มสายการบินที่ปฏิบัติงานที่สนามบิน หน่วยงานรอบๆ สนามบินและเรสซิเด้นทัล ในพื้นที่ไม่ห่างจากโรงแรมมากนัก" นายชัยวัฒน์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม นายชัยวัฒน์ กล่าวต่อว่า ยังมีแผนการปรับโครงสร้างทางการเงินใหม่ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการ เริ่มจากต้องชำระหนี้ ที่เหลือ 400 กว่าล้านให้หมด เพื่อยกระดับโรงแรมให้อยู่ในมาตรฐาน 4 ดาว โดยมีจำนวนห้องพัก 612 ห้อง แบ่งเป็นห้องซูพีเรียเดี่ยว 151 ห้อง ห้องซูพีเรียคู่ 205 ห้อง ห้องดีลักซ์เดี่ยว 52 ห้อง ห้องดีลักซ์คู่ 42 ห้อง ห้องเอ็กเซ็คคิวทีฟเดี่ยว 93 ห้อง ห้องเอ็กเซ็คคิวทีฟคู่ 35 ห้อง ห้องจูเนียร์สวีท 23 ห้อง ห้องเอ็กเซ็คคิวทีฟสวีท 7 ห้อง และห้องสำหรับผู้พิการ 4 ห้อง เป็นต้น